วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

พยาธิปากขอ (Hookworm)

พยาธิปากขอ (Hookworm)



พยาธิปากขอคืออะไร และทำให้เกิดโรคอะไร

พยาธิปากขอเป็นพยาธิที่ก่อให้เกิดโรคท้องร่วงในคนและสัตว์ พยาธิใช้ตะขอบริเวณปากช่วยในการเกาะและทำให้ผนังหลอดเลือดที่ผนังลำไส้ของคนและสัตว์เสียหาย คนที่มีพยาธิปากขออาจมีอาการทางผิวหนังที่เรียกว่า โรคตัวอ่อนพยาธิปากขอไชผิวหนัง (cutaneous larva migrans) ซึ่งเกิดจากตัวอ่อนของพยาธิปากขอเคลื่อนที่จากลำไส้ไปยังผิวหนัง หรืออาจจะพบพยาธิตัวเต็มวัยในลำไส้ได้ 

การกระจายโรค

พบได้ทั่วประเทศ แต่พบมากในเขตภาคใต้เนื่องจากเดินเท้าเปล่ากรีดยางตอนเช้า และถ่ายอุจาระตามพื้นดิน พยาธิปากขอเป็นโรคที่มีระบาดอยู่ทั่วไปโดยเฉพาะในประเทศโซนร้อน หรือในกลุ่ม ประเทศด้อยพัฒนา ซึ่งการกำจัดอุจจาระไม่ถูกหลักสุขาภิบาล มีพื้นดิน ความขึ้นและอุณหภูมิ เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตสำหรับตัวอ่อนของพยาธิชนิดนี้
ในประเทศไทยพบประชาชนป่วยด้วยโรคพยาธิปากขอมากเป็นอันดับหนึ่ง มีอัตราเป็นโรคนี้สูงถึงร้อยละ 27 เพราะเป็นประเทศกสิกรรมที่มีสภาพดินฟ้าอากาศเหมาะสม และกสิกรชอบถ่ายอุจจาระตามพื้นดินหรือตามสุมทุมพุ่มไม้ ไม่นิยมสวมรองเท้า มักระบาดมากทางภาคใต้ ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยพบมากที่สุดทางภาคใต้

เชื้อที่ทำให้เกิดโรค เกิดจากพยาธิปากขอ 3 ชนิด คือ

1.เนคาเทอร์   อเมริกานัส (Necator americanus) มักจะพบได้มากในภาคเหนือและ ภาคใต้ของอเมริกา ที่พบในเมีองไทยส่วนใหญ่คือชนิดนี้
2.แองไคโลสโตมา   ดูโอนนาเล(Ancylostomaduodenale) พบในกลุ่มประเทศ เมดิเตอร์เรเนียม
3.แองไคโลสโตมา   ซีลอนิคคุม (Ancylostoma ceyloniccum)
พยาธิชนิดที่ 1 และ 2 พบได้ในทุกๆ ภาคของทวีปเอเชีย อาฟริกาใต้และหมู่เกาะอินดีสตะวันตก

พยาธิปากขอหรือพยาธิดูดเลือด เป็นพยาธิตัวกลม สีขาว มีขนาดเล็ก ลักษณะลำตัวยาวเรียว ยาวประมาณ 1 เซนติเมตร ตัวผู้ปลายหางจะแผ่กว้างตัวเมียปลายหางจะเรียวตรง สามารถมีชีวิตอยู่ในร่างกายคนได้ประมาณ 6-8 ปี ส่วนไข่สามารถมีชีวิตอยู่บนดินได้นานนับเดือน
พยาธิปากขอจะอาศัยอยู่ในลำไส้เล็ก โดยใช้ส่วนหัวที่ปากซึ่งมีฟันหรือขอเกาะฝังเข้าไปในผนังของลำไส้เล็กแล้วดูดเลือดจากเส้นฝอยเป็นอาหาร ดังนั้นผู้ป่วยที่มีพยาธิชนิดนี้อยู่ในร่างกายเป็นจำนวนมากจะทำให้เป็นโรคโลหิตจางได้

สัตว์ชนิดใดเป็นโรคพยาธิปากขอได้บ้าง

พยาธิปากขอพบในสัตว์ได้หลายชนิด แต่ที่เกี่ยวข้องกับคน ส่วนใหญ่แล้วเป็นพยาธิปากขอในสัตว์กินเนื้อ เช่น สุนัข และแมว มีรายงานในบางประเทศว่า มีสุนัขประมาณ 96% และแมวประมาณ 80% ที่มีพยาธิปากขออยู่ในร่างกาย 

สัตว์ติดโรคพยาธิปากขอได้อย่างไร

ในสุนัข ตัวอ่อนของพยาธิสามารถติดต่อจากแม่ไปยังลูกในช่วงตั้งท้องหรือติดต่อผ่านทางปากในช่วงที่ลูกสัตว์ดูดนม สุนัขแมวและสัตว์อื่นๆ ยังสามารถติดพยาธิได้จากสิ่งแวดล้อม โดยไข่ของพยาธิปากขอจะถูกขับออกมาพร้อมกับอุจจาระของสัตว์ที่ติดเชื้อแล้วฟักตัวเป็นตัวพยาธิตัวอ่อนในดิน โดยสัตว์สามารถติดเชื้อจากการกินพยาธิจากดินเข้าไป นอกจากนี้ตัวอ่อนพยาธิยังสามารถไชผ่านผิวหนังโดยตรงได้ หากมีการสัมผัสกับดินที่มีพยาธินานประมาณห้าถึงสิบนาที

โรคพยาธิปากขอมีผลต่อสัตว์

อาการและความรุนแรงของโรคที่เกิดขึ้นจะขึ้นอยู่กับจำนวนของพยาธิที่มีอยู่ในร่างกาย ในสุนัขและแมว อาจทำให้เกิดท้องร่วงที่อาจมีเลือดปน หรือมีเหงือกซีดจางซึ่งแสดงว่าเกิดภาวะโลหิตจางหรือเสียเลือด น้ำหนักลด ลูกสุนัขและลูกแมวอาจตายได้ถ้ามีพยาธิเป็นจำนวนมาก พยาธิปากขอที่ไชเข้าผิวหนังจะทิ้งรอยนูนสีแดงหรือเส้นตามทางที่ตัวอ่อนพยาธิเคลื่อนที่ไป

คนติดโรคพยาธิปากขอได้หรือไม่

โดยปกติคนจะมีพยาธิปากขอชนิดที่พบได้ทั่วไปในคนอยู่แล้ว นอกจากนี้คนสามารถติดพยาธิจากสัตว์ได้โดยการกินตัวอ่อนพยาธิในดินที่ปนเปื้อนไปด้วยอุจจาระสัตว์ที่ติดเชื้อเข้าไป โดยอาจเกิดขึ้นได้หากไม่ทำความสะอาดและล้างมือหลังจากสัมผัสดิน หรือติดพยาธิได้โดยตรงจากการที่พยาธิไชเข้าผิวหนังเรียกว่า โรคจากการเคลื่อนที่ของตัวอ่อนพยาธิผ่านผิวหนัง หรือตัวอ่อนพยาธิไชผิวหนังและทำให้เกิดรอยแดงตามทางที่ถูกตัวอ่อนพยาธิไช พยาธิปากขอ Ancylostoma ceylanicum สามารถเจริญเป็นพยาธิปากขอตัวแก่ในลำไส้เล็กของคนได้ แต่พยาธิAncylostoma caninum จะไม่สามารถเจริญเป็นพยาธิตัวแก่ในทางเดินอาหารของคนได้

ควรติดต่อใครเมื่อสงสัยว่าเกิดโรคพยาธิปากขอ
กรณีสัตว์ : พบสัตวแพทย์
กรณีคน : พบแพทย์
แหล่งของโรค ได้แก่มนุษย์หรือผู้ที่มีพยาธิปากขออาศัยอยู่ในร่างกาย





ภาพวงจรชีวิตของพยาธิปากขอ (Hookworm)

วงจรชีวิตของพยาธิ

พยาธิปากขอตัวแก่อาศัยอยู่ในลำไส้เล็กโดยกัดติดกับเยื่อบุผนังลำไส้ ดูดเลือดและน้ำเลี้ยงจากลำไส้ พยาธิตัวเมียจะออกไข่วันละ 6000-20000 ฟอง ไข่จะออกมากับอุจาระ  ถ้าอุณหภูมิและความชื้นพอเหมาะ ตัวอ่อนจะออกจากไข่ใน 1-2 วัน เป็นตัวอ่อนระยะที่หนึ่งเรียกว่า rhabditiform larvae เจริญในดินหรืออุจาระ   ตัวอ่อนจะลอกคราบเป็นตัวอ่อนระยะที่สองมีลักษณะเหมือนตัวอ่อนระยะที่หนึ่งแต่ตัวใหญ่กว่าโดยใช้เวลา5-10 วัน และจะเจริญเป็นตัวอ่อนระยะที่สามเรียก filariform ในระยะเวลา 5-10 วัน ระยะนี้เป็นระยะติดต่อ  ซึ่งสามารถไชทะลุผ่านผิวหนังเข้าสู่ร่างกายคนได้    เข้าสู่หลอดเลือดดำ ไปหัวใจ เข้าปอด ไชออกจากปอดเข้าคอยหอย หลอดอาหาร แล้วสู่กระเพาะอาหารและลำไส้เล็กเจริญเติบโตเป็นตัวแก่ในลำไส้เล็ก  ตัวแก่ส่วนใหญ่จะถูกขับออกใน 1-2 ปีแต่อาจจะอยู่ได้หลายปี



การติดต่อ ระยะติดต่อ และวงจรชีวิต

เมื่อตัวอ่อนในระยะติดต่อไชเข้าไปอาศัยอยู่ในร่างกายของมนุษย์และผสมพันธุ์กันแล้ว พยาธิตัวเมียจะปล่อยไข่ได้ 10,000 – 20,000 ฟอง ลักษณะไข่เหมือนเมล็ดมะละกอ แต่เปลือกบางใสมีขนาดเล็กไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าหรือมองเห็นได้ยาก
ไข่ของพยาธิปากขอจะปนออกมากับอุจจาระ เมื่อตกถึงพื้นดินจึงจะเจริญเป็นตัวอ่อนแล้ว ฟักออกจากไข่ภายใน 24-48 ชั่วโมง หลังจากลอกคราบ 2 ครั้ง หากมีความชื้นและอุณหภูมิเหมาะสม ตัวอ่อนจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยใช้เวลาเจริญจากไข่เป็นตัวอ่อนประมาณ 7 วันก็กลายเป็นตัวแก่

ระยะติดต่อ

เมื่อมีผู้เดินเท้าเปล่ามาเหยียบดิน ตัวอ่อนก็จะไชทะลุผิวหนังเข้าสู่ร่างกาย ทำให้เกิดตุ่มคัน (grounditch) ตัวอ่อนจะผ่านทางเดินน้ำเหลืองและเส้นเลือดเข้าสู่หัวใจ ปอด แล้วเจาะทะลุผ่านผนังถุงลมปอดออกมาอยู่บริเวณหลอดอาหาร จากนั้นจะถูกกลืนลงสู่กระเพาะไปเจริญเติบโตเป็นพยาธิตัวแก่ในลำไส้เล็กต่อไป เมื่อผสมพันธุ์แล้วก็จะผลิตไข่ออกมากับอุจจาระเป็น วัฏจักร ถ้าเรากินน้ำหรืออาหารที่มีระยะติดต่อของพยาธิปากขอเข้าไป ก็จะเป็นโรคนี้ได้เช่นกัน
ระยะฟักตัวของโรค นับจากพยาธิไชทะลุเข้าง่ามนิ้วมือนิ้วเท้าหรือเข้าสู่ร่างกายไป จนกระทั่งเจริญเติบโตเป็นตัวแก่ในลำไส้และสามารถมีไข่ปนออกมากับอุจจาระ ใช้เวลาประมาณ 5 สัปดาห์ หรือ 1 เดือนครึ่ง
ระยะติดต่อ คนที่มีพยาธิอยู่ในร่างกาย สามารถถ่ายทอดพยาธิได้ตลอดเวลา พยาธิตัวอ่อนระยะติดต่อจะอยู่ในดินได้หลายสัปดาห์

อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการรุนแรงมากน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนพยาธิในลำไส้ซึ่งดูดกินโลหิตจากผนังลำไส้ของมนุษย์เป็นอาหาร ทำให้เกิดโรคโลหิตจาง ซูบซีด อ่อนเพลีย ง่วงเหงาหาวนอน เหนื่อยง่าย สมองมึนงงและเป็นลมบ่อย ๆ ร่างกายไม่แข็งแรง ในผู้ป่วยที่เป็นเด็กจะทำให้เจริญเติบโตช้า
อาการที่พบทั่วไปคือ อ่อนเพลีย ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ หิวอาหารบ่อย หากมีอาการโลหิตจางมากอาจมีบวมน้ำทั่วร่างกาย
สำหรับอันตรายที่เกิดจากตัวอ่อนที่ไชเข้าสู่ร่างกายคือ ทำให้คันตามง่ามมือง่ามเท้า เกิด ตุ่มใสๆ มีน้ำเหลืองภายใน ตุ่มอาจจะแตกออกกลายเป็นน้ำหนองหรือแผลเรื้อรังได้
การตรวจหาเชื้อและวินิจฉัยโรค ผู้ป่วยมักมีอาการซีด และโลหิตจาง ในรายที่มี การซีดมากๆ อาจเกิดอาการบวมและหัวใจวายได้ เด็กที่ซึมง่วงนอนอยู่ตลอดเวลา เรียน หนังสือไม่ค่อยรู้เรื่อง ควรจะได้รับการตรวจอุจจาระ เพื่อหาไข่ของพยาธิชนิดนี้
1.เมื่อตรวจโลหิต จะพบว่ามีเม็ดโลหิตขาวอีโอสิโนฟิล (Eosinophils) สูง
2.ตรวจอุจจาระพบตัวอ่อนของพยาธิ
การรักษาและควบคุมป้องกันโรค เช่นเดียวกับที่กล่าวไว้ในเรื่องพยาธิเส้นด้าย และพยาธิไส้เดือน นอกจากนั้นควรสวมรองเท้าและระมัดระวังไม่ให้ตัวอ่อนของพยาธิไชเข้าสู่ ง่ามมือง่ามเท้า
สำหรับผู้ที่เป็นโรคพยาธิควรกินยาถ่ายพยาธิ เพื่อจะได้ไม่แพร่เชื้อติดต่อไปสู่ผู้อื่น

ยาที่ใช้สำหรับรักษาโรคพยาธิปากขอ
1.ไทอาเบนดาโซล   (Thiabendazole) (Mintezol) ขนาด 25 มก./นน.ตัว 1 กก.
2.ฟูกาคาร์      (Fugacar) วิธีใช้ดูตามฉลาก ฯ
3.ยาถ่ายพยาธิปากขอแบบสุมนไพรพื้นบ้านได้แก่มะเกลือ      ขนาด 1 ลูกต่ออายุ 1 ปี แต่สูงสุดไม่ควรเกิน 20 ลูก ใช้ลูกสีเขียว (สีดำไม่ใช้) นำมาตำในครกให้แหลก แล้วคั้นเอาน้ำมากิน อาจใส่กับกะทิ หรือแต่งรสอย่างใดก็ได้ กินครั้งเดียว

จะป้องกันสัตว์จากโรคพยาธิปากขอได้อย่างไร

วิธีการป้องกันที่ดีที่สุดคือ การกำจัดอุจจาระจากสัตว์ทันที ควรควบคุมสัตว์เลี้ยงให้สัมผัสกับดินที่อาจมีพยาธิให้น้อยที่สุด ควรพาสัตว์ไปพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจหาพยาธิและถ่ายพยาธิเป็นประจำ โดยเฉพาะลูกสุนัข 



จะป้องกันตัวจากโรคพยาธิปากขอได้อย่างไร
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการป้องกันพยาธิปากขอ คือ สุขอนามัย ควรล้างมือทุกครั้งหลังจากสัมผัสกับสัตว์ ดิน หรือสนามหญ้า การถ่ายพยาธิสัตว์ที่ติดเชื้อจะทำให้ลดการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมและโอกาสติดเชื้อสู่คน 

การวินิจฉัย

ตรวจอุจาระพบไข่และพยาธิในอุจาระ ควรจะตรวจอุจาระใหม่ หากเกิน 24 ชั่วโมงไข่จะกลายเป็นตัวอ่อน
ไข่พยาธิจะมีขนาด 50-70 ไมครอนเปลือกบาง ไข่รูปร่างรีๆ

ที่มาของภาพ : http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/infectious/parasite/HOOKWORM.htm#.
ตัวอ่อนระยะrhabditiform larvae
ตัวแก่ของพยาธิ

ที่มาของภาพ : http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/infectious/parasite/HOOKWORM.htm#.

การรักษา

การรักษาทั่วไป ถ้าผู้ป่วยซีดควรจะให้เลือดหรือธาตุเหล็ก
ยาฆ่าพยาธิชื่อ Pyrantel pamoate( 125 มก./เม็ด) ขนาด 10-20 มก./กก ให้วันละครั้ง 2 วัน
Mebendazole(100 มก)ให้ 1 เม็ดเช้า-เย็นเป็นเวลา 3 วัน